ถ้าถามคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายว่าอะไรคือสิ่งที่พ่อแม่ปรารถนามากที่สุดหลังจากที่ผ่านชีวิตมาเกินครึ่งทางและมีลูกสาวหรือลูกชาย คำตอบน่าจะเกิน 80 % ของท่านเหล่านี้คือ อยากเห็นความมั่นคงของลูก บางคนอาจจะขยันขันแข็งสร้างฐานะ สร้างทรัพย์สินหรือสร้างธุรกิจเอาไว้ให้ลูกหลานได้ดำเนินกิจการต่อไป
แต่หลายคนอาจไม่ได้มีธุรกิจใหญ่โต แต่สิ่งที่มีให้ลูกหลานคือความรู้ พ่อแม่ทุกคนคงจะมีความสุขเมื่อเห็นลูกเติบโตแบบมั่นคง โดยทุกๆครอบครัวก็คงหวังไว้เหมือนๆกันว่าลูกจะสอบติดเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยมีชื่อทั้งหลาย และในคณะที่จบออกมาแล้วรับประกันความมั่นคงให้ได้อย่างแน่นอน
ซึ่ง 1 ในคณะที่เป็นที่ปรารถนาของคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายก็คือ คณะแพทยศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยไหนก็ได้ทั้งนั้นแต่ถ้าเป็นมหาวิทยาชื่อดังก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก
วันนี้ผมมีเรื่องเล่าจากคุณพ่อท่านหนึ่งซึ่งลูกสาวสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลับสงขลาฯ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในระบบสอบตรงของมหาวิทยาลัยได้ โดยมีคะแนนลำดับต้นๆเสียด้วย จริงๆแล้วน้องคนนี้ผมได้มีโอกาสสอนในช่วงประถมปลาย กับเพื่อนๆของน้องอีกหลายคน บอกเลยว่าน้องไม่ใช่เด็กที่มีพรสวรรค์ และไม่ได้เรียนเก่งขั้นเทพแต่อย่างใด แต่ก็ถือว่าเป็นเด็กที่เรียนดีใช้ได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้น้องประสบความสำเร็จในวันนี้ มาจากคุณพ่อและคุณแม่ที่เอาใจใส่เรื่องการเรียนของลูกเป็นอย่างดี ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หลายคนก็เป็นแบบนั้น คุณพ่อน้องจะคอยสอบถามคุยกับคนอื่นๆเป็นประจำถึงโรงเรียนกวดวิชาที่ไหนหรือติวเตอร์ที่ไหนที่สอนเก่งสอนดี และผมก็ได้มีโอกาสสอนน้องในช่วงประถมปลายเท่านั้น เพราะย้ายมากรุงเทพฯเสียก่อนเลยไม่ได้สอนน้องต่อในช่วงมัธยม
ตอนที่สอนน้องก็เห็นถึงความตั้งใจเรียนของน้องเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะมีบางครั้งที่น้องก็ซน ซ่าตามประสาเด็กกำลังจะเข้าช่วงวัยรุ่น ผ่านไปน้องโตขึ้นพร้อมกับการเรียนแบบเอาจริงเอาจังเหมือนเดิม แต่จากคำบอกเล่าของคุณพ่อก็รู้ว่าถึงน้องจะตั้งใจเรียนขนาดไหนก็ดีอยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้น อย่างที่บอกว่าน้องไม่ได้เกิดมาเป็นเด็กฉลาด หัวดีตั้งแต่แรกเกิด อาศัยพรแสวงล้วนๆ ทำให้น้องมีทักษะการเรียนในทุกๆวิชาอยู่ในระดับดี แต่ถ้าพูดถึงการติดแพทยศาสตร์อาจจะยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลอยู่ แต่เมื่อน้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน อันนี้ร่วมถึงผู้ปกครองด้วยที่ค่อนข้างแน่วแน่จริงจังกับการศึกษาของลูก
จนกระทั่งมาถึง ม.6 คุณพ่อได้เจอติวเตอร์ท่านหนึ่ง ซึ่งติวเตอร์ท่านนี้ก็เคยเป็นอดีตคุณพ่อที่เอาจริงเอาจังกับการศึกษาของลูกเหมือนกัน และก็ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงดูเอาใจใส่การศึกษาของลูกเป็นอย่างดี
ในที่นี้ผมขอเรียกว่าการโค้ชชิ่งมากกว่า เหมือนกับการฝึกนักกีฬาระดับโลกทั้งหลายที่ต้องฝึกฝนๆๆ และฝึกฝนจนความสามารถในการใช้ความรู้ที่มีมาแก้ปัญหาโจทย์ได้แบบสบายๆไม่ว่าจะในรูปแบบไหน ในทุกๆวิชา
คุณพ่อของน้องบอกว่ามันเหมือนลูกออกมาจากกะลา
คือก่อนหน้านี้น้องมีความรู้ในระดับที่เรียกว่าดีมากอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยู่ในะดับของเด็กทั่วๆไป แต่เมื่อได้มาฝึกฝน ทำโจทย์เป็นหมื่นๆข้อในแต่ละวิชา ทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเกิดความชำนาญในแต่ละเรื่อง ก็เหมือนน้องหลุดพ้นขีดจำกัดของตัวเองไปอีกขั้น
ถามว่าน้องเครียดมั๊ย ? ที่ต้องนั่งทำโจทย์มากมายขนาดนั้น
คุณพ่อเล่าว่าทีแรกน้องก็เครียดนะ และมีออกอาการงอแงไม่อยากไปเรียนเดี๋ยวปวดหัว เดี๋ยวตัวร้อน เรียกว่าหาข้ออ้างไปเรื่อย แต่คุณพ่อใจแข็งมาก ปกติคุณแม่จะเป็นคนไปส่งน้องเรียน คุณพ่อต้องบอกคุณแม่ว่า ให้ทำเหมือนตอนที่ส่งน้องไปเรียนตอนเข้าอนุบาลครั้งแรก ส่งแล้วให้กลับออกมาเลย ให้น้องอยู่เรียนเอง และก็ได้ผลผ่านไป 2 สัปดาห์น้องเริ่มรู้สึกว่าการฝึกทำโจทย์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเจอโจทย์คล้ายๆข้อที่เคยทำน้องจะมองออกทันทีว่าจะคิดแบบไหน ทำอย่างไร ทีนี้พอเครื่องติดก็หยุดไม่อยู่แล้ว น้องเริ่มสนุกกับการฝึกๆๆ แบบเห็นโจทย์ข้อสอบเป็นเรื่องธรรมดามากๆ
เคล็ดลับของการฝึกนี้คืออะไร ?
การฝึกฝนทำโจทย์เมื่อถึงระดับที่เด็กๆมีความรู้ถึงขั้นหนึ่งแล้ว การฝึกที่ทำให้เห็นผลมากคือ ฝึกทำไปทีละเรื่อง ไม่ใช่ฝึกทำโจทย์แบบคละเรื่องกันไป ตรงนี้โรงเรียนหลายๆที่ยังน่าจะไม่เข้าใจหลักการข้อนี้ดี คือการฝึกทำโจทย์แบบคละกันไป น้องอาจจะได้ฝึกทำโจทย์ในหลากหลายรูปแบบ แต่ก็จะทำให้ไม่เกิดความชเชี่ยวชาญจริงๆจังๆซักเรื่อง ดีไม่ดีพอได้เรื่องหลังอาจลืมเรื่องแรกๆไปก้เป็นได้ แต่การฝึกทำโจทย์เป็นเรื่องๆ ไปเรื่อยๆเป็นพันๆ ข้อ จะทำให้น้องมีการทำซ้ำๆ อาจจะมีพลิกแพลงไปเรื่อยๆในเรื่องนั้นๆ จนกะทั่งไม่ว่าโจทย์จะเป็นรูปแบบไหนก็สบายๆสำหรับน้อง
สิ่งที่สำคัญอีกเรื่อง คือ ?
และคุณพ่อบอกว่าสิ่งที่สำคัญอีกเรื่องไม่ได้อยู่ที่เด็ก แต่อยู่ที่ผู้ปกครองมากกว่า ว่าจะสามารถต่อสู้กับจิตใจตัวเองได้อย่างไร เป็นเรื่องธรรมดาที่บางครั้งคนเป็นพ่อแม่จะรู้สึกสงสารลูก และก็เป็นเรื่องที่ธรรมดามากที่เด็กจะต้องเกิดอาการงอแงบ้าง อ้อนบ้าง แกล้งป่วยบ้างเพื่อจะได้ไม่ต้องไปเรียน และคนเป็นพ่อแม่ส่วนใหญ่ก็มักจะแพ้ทางลูกในเรื่องเหล่านี้ และถ้าลองได้ยอมครั้งนึง ก็บอกได้เลยว่าคุณพ่อคุณแม่แพ้ลูกแล้ว ในกรณีนี้คุณพ่อรู้ดีว่าจะยอมแพ้ลูกไม่ได้ และต้องใจแข็งให้ถึงที่สุด และคุณพ่อก็ประสบความสำเร็จเมื่อน้องเริ่มชินและสนุกกับการเรียนและฝึกหนักแบบนี้
หลายท่านอ่านบทความนี้แล้วอาจจะคิดว่าคุณพ่อทำเกินไป หรือบางคนอาจจะคิดว่าการฝึกแบบนี้เหมาะสำหรับเด็กบางคนเท่านั้น หรือบางคนอาจจะคิดว่าก็น้องเรียนดีอยู่แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก หรือบางคนอาจจะกลัวลูกบ้าไปเสียก่อน เท่าที่ผมได้รู้จักทั้งคุณพ่อและน้องนั้น บอกได้เลยว่า น้องเป็นเด็กธรรมดาๆคนหนึ่งมีตั้งใจเรียน มีขี้เกียจบ้าง มีซนบ้าง ซึ่งเป็นปกติของเด็กทั่วๆไป ดังนั้นผมว่าเด็กธรรมดาๆ ทุกคนถ้ามีความตั้งใจจริงของทั้งน้องและผู้ปกครอง การจะสอบติดคณะแพทยศาสตร์ หรือวิศวะฯ หรือคณะที่ต้องการก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป ทุกคนสามารถทำได้
เพียงแต่ว่าต้องตั้งใจจริงและไม่ยอมแพ้ต่อแรงต้านใดๆเสียก่อน