บทที่ 1 หน่วยของสิ่งมีชีวิตและพืช
- หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
- ลักษณะโครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์
- การลำเลียงในพืช การแพร่และออสโมซิส
- การสืบพันธุ์และการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
- การสังเคราะห์ด้วยแสง
- เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อผลผลิตของพืชในท้องถิ่น
หน่วยสิ่งมีชีวิต
เซลล์ คือ หน่วยชีวิตเล็กๆ อาจจะมีรูปร่างหน้าที่และส่วนประกอบแตกต่างกันส่วนประกอบเซลล์พืช
1. ผนังเซลล์ ทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงและป้องกันอันตรายให้แก่เนื้อเยื่อพืช เป็นสารพวกเซลลูโลส ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลใหญ่ ผนังเซลล์มีเฉพาะในเซลล์พืช2. เยื่อหุ้มเซลล์ เป็นเยื่อบางๆ ซึ่งเป็นสารประเภทโปรตีนและไขมัน ทำหน้าที่ห่อหุ้มไซโทพลาสซึม ใหรวมกันอยู่ได้และทำหน้าที่ควบคุมปริมาณและชนิดของสารที่ผ่านเข้าออกจากเซลล์ เช่น น้ำ อากาศ ของเสีย เกลือแร่ และอื่นๆ
3.ไซโทพลาสซึม เป็นของเหลวซึ่งอยู่รอบๆ นิวเคลียส เป็นสารประกอบหลายชนิด เช่น น้ำตาล โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรตและเกลือแร่ต่างๆ ในไซโทพลาสซึมมีเม็ดสีเขียวซึ่ง เรียกว่า คลอโรพลาสต์ และถุงใส (vacuole,แวคิวโอล) ซึ่งภายในมีน้ำและสารอื่นๆ
4. นิวเคลียส มีลักษณะค่อนข้างกลม ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ การเจริญเติบโต และการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลาน
เปรียบเทียบโครงสร้างและหน้าที่ในเซลล์แบคทีเรีย สัตว์ พืช
ขนาดของเซลล์
เซลล์มีขนาดต่าง ๆ กันตั้งแต่ขนาดเล็ก เช่น เซลล์แบคทีเรียซึ่งมีขนาดประมาณ 1 ไมโครเมตร ไปจนถึงเซลล์ขนาดใหญ่รูปร่างของเซลล์
มีลักษณะเฉพาะและถูกควบคุมทางพันธุกรรม จึงทำให้รูปร่างของเซลล์มีความแตกต่างกันออกไป แม้แต่เซลล์ของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันแต่ทำหน้าที่แตกต่างกันก็จะมีรูปร่างต่างกัน เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดงจะมีรูปร่างกลม เพื่อให้เคลื่อนที่ไปได้สะดวกในเส้นเลือด เซลล์ประสาทมีส่วนที่ยื่นยาวและแตกแขนงออกไป เพื่อทำหน้าที่ส่งกระแสประสาทไปยังส่วนต่างการใช้กล้องจุลทรรศน์
วิธีใช้กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (Light microscope) ให้ดำเนินตามลำดับดังนี้
1. วางกล้องให้ฐานอบู่บนพื้นรองรับที่เรียบสม่ำเสมอเพื่อให้ลำกล้องตั้งตรง
2. หมุนเลนส์ใกล้วัตถุ (objective lence) อันที่มีกำลังขยายต่ำสุดมาอยู่ตรงกลางลำกล้อง
3. ปรับกระจกเงาใแท่นวางวัตถุให้แสงสะท้องเข้าลำกล้องเต็มที่
4. นำสไลด์ที่จะศึกษาวางบนแท่นวางวัตถุ ให้วัตถุอยู่กลางบริเวณที่แสงผ่าน แล้วค่อยๆ หมุนปุ่มปรับภาพหยาบ (coarse adjustment knob) ให้ลำกล้องเลื่อนลงมาอยู่ใกล้วัตถุที่จะศึกษามากที่สุด โดยระวังอย่าให้เลนส์ใกล้วัตถุสัมผัสกับกระจกปิดสไลด์
5. มองผ่านเลนส์ใกล้ตา (eyeiece) ลงตามลำกล้อง พร้อมกับหมุนปุ่มปรับภาพหยาบขึ้นช้าๆ จนเห็นวัตถุที่จะศึกษา แล้วจึงเปลี่ยนมาหมุนปรับปุ่มภาพละเอียด (fine adjustment knob) เพื่อปรับภาพให้ชัด อาจเลื่อนสไลด์ไปมาช้า เพื่อให้สิ่งที่ต้องการศึกษามาอยู่กลางแนวลำกล้องขณะปรับภาพ ถ้าเป็นกล้องสมัยก่อนลำกล้องจะเคลื่อนที่ขึ้นและลงเข้าหาวัตถุ แต่ถ้าเป็นกล้องสมัยใหม่ แท่นวางวัตถุจะทำหน้าที่เลื่อนขึ้นลงเข้าหาเลนส์วัตถุ
6. ถ้าต้องการขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น ให้หมุนเลนส์ใกล้วัตถุอันที่มีกำลังขยายสูงขึ้นเข้ามาในแนวลำกล้อง และไม่ควรขยับสไลด์อีก แล้วหมุนปุ่มปรับภาพละเอียดเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
7. การปรับแสงที่เข้าในลำกล้องให้มากหรือน้อย ให้หมุนแผ่นไดอะแฟรม ปรับแสงตามต้องการ
กล้องโทรทัศน์ที่ใช้กันในโรงเรียนมีจำนวนเลนส์ใกล้วัตถุต่างๆ กันไป เช่น 1 อัน 2 อัน หรือ 3 อัน และมีกำลังขยายต่างๆ กันไป อาจเป็นกำลังขยายต่ำสุด x 4 กำลังขยายขนาดกลาง X 10 กำลังขยายสูง X 40 , X 80 หรือที่กำลังขยายสูงมากๆ ถึง X 100 ส่วนกำลังขยายของเลนส์ใกล้ตานั้นโดยทั่วไปจะเป็น X10 แต่บางกล้องที่เป็น X 5 หรือ X 15 กำลังขยายของกล้องจุลทรรศน์คำนวณได้จากผลคูณของกำลังขยาย ของเลนส์ใกล้วัตถุกับกำลังขยายของเลนส์ใกล้ตา ซึ่งมีกำกับไว้ที่เลนส์
กำลังขยายของกล้องจุลทรรศน์ = กำลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ X กำลังขยายของเลนส์ใกล้ตา
เนื่องจากกล้องจุลทรรศน์ เป็นอุปกรณ์ที่มีราคาแพง ส่วนประกอบที่สำคัญและราคาแพงที่สุดของกล้องจุลทรรศน์ คือ เลนส์
การใช้และการระวังรักษากล้องต้องปฏิบัติอย่างถูกวิธี ซึ่งมีวิธีปฏิบัติดังนี้
1. การยกกล้อง ควรใช้มือหนึ่งจับที่แขนกล้อง และอีกมือหนึ่งรองที่ฐาน และต้องให้ลำกล้องตั้งตรงเสมอ เพื่อป้องกันการเลื่อนหลุดของเลนส์ใกล้ตา ซึ่งสามารถถอดออกได้ง่าย
2. สไลด์และกระจกปิดสไลด์ต้องไม่เปียก เพราะอาจทำให้แท่นวางเกิดสนิม และทำให้เลนส์ใกล้วัตถุชื้น อาจเกิดราที่เลนส์ได้
3. ขณะที่ตามองผ่านเลนส์ใกล้ตา หมุนปุ่มปรับภาพหยาบ ต้องหมุนให้ลำกล้องเลื่อนขึ้นเท่านั้น ห้ามหมุนให้ลำกล้องเลื่อนลง เพราะเลนส์ใกล้วัตถุอาจกระทบกระจกสไลด์ ทำให้กระจกสไลด์และเลนส์แตกได้
4.การหาภาพต้องเริ่มต้นด้วยเลนส์วัตถุกำลังขยายต่ำสุดก่อนเสมอ เพราะปรับหาภาพสะดวกที่สุด
5. เมื่อใช้เลนส์ใกล้วัตถุที่มีกำลังขยายสูง ถ้าจะปรับภาพให้ชัดให้หมุนเฉพาะปุ่มปรับภาพละเอียดเท่านั้น
6. ห้ามใช้มือแตะเลนส์ ในการทำความสะอาดให้ใช้กระดาษสำหรับเช็ดเลนส์เช็ดเท่านั้น
7. เมื่อใช้เสร็จแล้วต้องเอาวัตถุที่ศึกษาออก เช็ดแท่นวางวัตถุและเลนส์ให้สะอาด หมุนเลนส์ใกล้วัตถุกำลังขยายต่ำสุดให้อยู่ตรงกลางกับลำกล้อง และเลื่อนลำกล้องลงต่ำสุด ปรับกระจกให้อยู่ในแนวตั้งได้ฉากกับแท่นวางวัตถุ เพื่อไม่ให้ฝุ่นลง แล้วเก็บใส่กล่องหรือใสตู้ให้เรียบร้อย
การเตรียมสไลด์สด หัวหอม
1. ตัดหัวหอมออกเป็นเสี้ยว
2. ดึงแผ่นหัวหอมออกมา
3. หักแผ่นหัวหอมนี้ออกเป็นแผ่นสั้นๆ
4. แยกชั้นผิวนอกของกลีบหัวหอมออกเพียงแผ่นเล็กๆ
5. วางเซลล์เยื่อหัวหอมบนสไลด์และหยดน้ำ
6. ค่อยๆ วางแผ่นกระจกปิดลงไปช้าๆ ไม่ให้มีฟองอากาศภายใน
การลำเลียงในพืช การแพร่และออสโมซิส
ราก พืชใช้รากดูดน้ำและธาตุอาหารในดินส่วนประกอบของราก
- หมวกราก อยู่ปลายสุดของราก ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายของราก จากการไชชอนดิน- ขนราก ลักษณะเป็นเส้นขนเล็กๆ อยู่รอบปลายราก ทำหน้าที่ดูดซึมน้ำและธาตุอาหารจากดิน
ไซเล็ม คือ ท่อลำเลียงน้ำของพืช (สามารถลำเลียงอาหารได้ด้วย)
โฟเอ็ม คือ ท่อลำเลียงอาหาร
วิธีการลำเลียงในพืช
- การแพร่ ( diffusion ) การเคลื่อนที่ของโมเลกุล หรืออิออน โดยอาศัยพลังงานจลน์ในตัวเอง ทิศทางการเคลื่อนที่ของสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นสูงไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นต่ำ จนในที่สุดบริเวณทั้งสองจะมีความเข้มข้นเท่ากัน ซึ่งเรียกว่า สมดุลของการแพร ่ ซึ่งอนุภาค ของสารยังมีการเคลื่อนที่อยู่ แต่ความเข้มข้น หรือ หนาแน่น โดยเฉลี่ยจะเท่ากันทุกบริเวณ การเคลื่อนที่ของโมเลกุล หรือไอออนของสารจะมีการกระทบกัน เป็นผลให้โมเลกุลกระจายออกไปทุกทิศทางในตัวกลาง เรียกว่า การเคลื่อนที่แบบบราวเนียน (Brownian movement )
- ออสมซิส (osmosis) การแพร่ของ ของเหลว หรือการแพร่ของน้ำผ่านเยื่อเลือกผ่าน ( differentially permeablemembrane) หลักการแพร่ทั่วๆ ไป คือ “ น้ำจะแพร่จากบริเวณที่มีความหนาแน่นของน้ำมาก ( สารละลายเจือจาง ไปยังบริเวณที่มีความหนาแน่นของน้ำน้อย ( สารละลายเข้มข้น ) จนกระทั่งถึงจุดสมดุล เมื่ออัตราการแพร่ผ่านเยื่อเลือกผ่านไปและกลับ มีค่าเท่าๆ
ออสโมมิเตอร์ ( osmometer ) เป็นเครื่องมือที่ใช้แสดงการเกิดออสโมซิส และสามารถใช้วัดแรงดันที่เกิดจากขบวนการออสโมซิส
แรงดันออสโมติก ( osmotic pressure ) คือ ความดันที่ทำให้เกิดออสโมซิสของน้ำ
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับออสโมซิส
1. น้ำบริสุทธิ์มีแรงดันออสโมติกต่ำสุด เนื่องจากไม่มีตัวถูกละลายใดๆ เจือปน2. อนุภาคสารขนาดเล็กเท่านั้นที่แพร่ได้
3. สมบัติของสารเยื่อเลือกผ่าน สารบางชนิดเท่านั้นที่ผ่านได้
4. สารละลายที่มีความเข้มข้นสูง ( ตัวถูกละลายมีจำนวนมาก ) จะมีแรงดันออสโมติกสูง ส่วนสารละลายที่มีความเข้มข้นต่ำ ( ตัวถูกละลายมีจำนวนน้อย ) จะมีแรงดันออสโมติกต่ำ
5. น้ำจะแพร่จากบริเวณที่มีแรงดันออสโมติกต่ำ ไปยังบริเวณที่มีแรงดันออสโมติกสูงต่ำ สูง การลำเลียงสารโดยผ่านเยื่อหุ้มเซลล์
ปัจจัยที่ควบคุมอัตราการแพร่ของสาร
1. ความเข้มข้นของสารที่แพร่ สารที่มีความเข้มข้นสูง จะแพร่ไปสู่ที่มีความเข้มข้นต่ำ2. อุณหภูมิการเพิ่มอุณหภูมิ จะให้การแพร่เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
3. ความดันการเพิ่มความดัน จะทำให้โมเลกุล หรือไอออนของสารเคลื่อนที่
4. ขนาดและน้ำหนักของอนุภาคที่แพร่ ถ้าอนุภาคขนาดเล็กและเบา จะมีอัตราการแพร่เร็วกว่าสารที่มีอนุภาคขนาดใหญ่และหนัก
5. ความหนาแน่นของตัวกลาง สารที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่แพร่ผ่านตัวกลางต่างชนิดกัน อัตราการแพร่จะไม่เท่ากัน เช่น การแพร่ในอากาศจะมีอัตราการแพร่สูงกว่าในน้ำ เพราะน้ำมีความหนาแน่นสูงกว่าอากาศ
6. ความสามารถในการละลายของสารที่แพร่ สารที่ละลายได้ดี จะมีอัตราการแพร่สูงกว่าสารที่ละลายได้น้อย
การคายน้ำคือ น้ำระเหยออกจากปากใบในรูปไอน้ำ
การคายน้ำ ที่ใบคือกระบวนการลำเนียงน้ำไปยังส่วนต่างๆๆของพืช ( สืบเนื่องจากการลำเลียงน้ำของไซเล็ม)เซลล์เอพิเดอร์มิสเป็นเซลล์ที่พบบริเวณผิวใบ มีผนังเซลล์บาง เรียงต่อกันเป็นแผ่น
เซลล์คุมคือเซลล์ที่มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว มี2 เซลล์ประกบกัน เกิดช่องว่างเรียกว่าปากใบ ภายในเซลล์คุมมีคลอโลพลาส เซลล์พบมากบริเวณ ด้านล่างของใบ
ปัจจัยการคายน้ำ
- แสงสว่าง แสงมากการคายน้ำสูง เนืองจากสังเคราะห์แสงได้มาก มีผลให้น้ำจาก เชลล์คุมแพร่ไปยังปากใบเกิดการคายน้ำ-อุณหภูมิ สูงเกิดการระเหยน้ำเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การคายน้ำเพิ่มขึ้น ปากใบเปิดดีที่ อุณหภูมิ 25-30 องศา เกิน 30 องศา ปากใบปิด
- ความชื้นสูง การคายน้ำเกิดช้า กลางวันคายน้ำได้มาก กลางคืนคายน้ำได้น้อย
กัตเตชั่น (guttation)คือ การคายน้ำเป็นหยดน้ำ สาเหตุ ความชื้นในอากาศสูง
- ลม หากมีการถ่ายเทอากาศดี การคายน้ำเพิ่มขึ้นเนื่องจากลมช่วยพัดพาไอน้ำ
สรุป พืชมีการแลกเปลี่ยนก๊าซเกิดขึ้นหลายแห่ง ดังนี้ คือ
- ราก ออกซิเจนที่แทรกอยู่ในดินจะแพร่เข้าไปทางขนราก(ROOT HAIR)- ลำต้น การแลกเปลี่ยนก๊าซจะเกิดขึ้นที่เลนติเซล(LENTICEL)
- ใบ การแลกเปลี่ยนก๊าซเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเกิดที่ปากใบ(STOMATA)
- ตามปกติ พืชจะคายน้ำในรูปของไอน้ำทางปากใบ
- ถ้าความชื้นในอากาศสูง ลมสงบ และอุณหภูมิต่ำ พืชจะคายน้ำออกมาในรูปของหยดน้ำทางรูเปิดปลาย(HYDATHODE)เรียกกระบวนการนี้ว่า GUTTATION
การลำเลียงน้ำของพืช
การลำเลียงน้ำของพืช จากรากขึ้นไปสู่ยอดเกิดขึ้นโดยอาศัยกระบวนการต่างๆคือ1. แรงดึงจากการคายน้ำ (TRANSPIRATION PULL) เมื่อพืชมีการคายน้ำทางปากใบ
2. แรงดันราก(ROOT PRESSURE) เมื่อ รากดูดน้ำเข้าสู่รากมากๆ จะเกิดแรงดันดันให้น้ำเคลื่อนที่เข้าไปสู่เซลล์ถัดไปตามท่อลำเลียงน้ำขึ้นสู่ยอด
3. CAPILLARY ACTION เกิดขึ้นได้เนื่องจาก แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของน้ำกับผนังด้านข้างหลอดในท่อลำเลียงของไซเลม (ADHESION)
- การลำเลียงอาหาร เกิดขึ้นทั้ง2ทิศทาง จากใบสู่ยอด และจากใบสู่ราก- การลำเลียงน้ำเกิดขึ้นทิศทางเดียวคือ จากรากสู่ยอด
- แรงดันเต่งมีค่าสูงสุด = แรงดันออสโมติก
- แรงดันเต่ง ( Turgor pressure ) เป็นแรงดันที่เกิดขึ้นภายในอันเนื่องมาจากน้ำแพร่เข้าไป
- แรงดันเต่งสูงสุดจะมีค่าเท่ากับแรงดันออสโมติกของสารละลาย
- แรงดันเต่งมีความสำคัญมากในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต เพราะทำให้เซลล์สามารถรักษารูปร่างได้ เช่น การรักษารูปร่าง ลักษณะของเซลล์สัตว์ หรือในพืช การที่ใบกางเต็มที่ ยอดตั้งตรงดี ใบฝักกรอบ เนื่องจากภายในเซลล์มีแรงดันเต่งมากนั่นเอง
การลำเลียงแร่ธาตุ
1. การแพร่ธรรมดาจากบริเวณที่มีแร่ธาตุมากเข้าสู่บริเวณที่มีแร่ธาตุน้อย2. ACTIVE TRANSPORT เป็นการนำแร่ธาตุจากบริเวณที่มีความเข้มข้นน้อย ไปยังบริเวณที่มีแร่ธาตุมากกว่า โดยต้องใช้พลังงานจากการหายใจช่วย
การลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
1. การลำเลียงสารโดยผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ1.1 การลำเลียงสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ โดยไม่ใช้พลังงานจากเซลล์ ( passive transport )ได้แก่
การแพร่ ( diffusion ) การแพร่ธรรมดา ( simple diffusion ) การแพร่โดยอาศัยตัวพา ( facilitated diffusion ออสโมซิส ( osmosis )อิมบิบิชั่น ( Imbibition ) การแลกเปลี่ยนอิออน ( Ion exchange )
1.2 การลำเลียงสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ โดยใช้พลังงานจากเซลล์ ( active transport )
2. การลำเลียงสารโดยไม่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ มี 3 ลักษณะ คือ
2.1 การนำสารเข้าสู่ภายในเซลล์ ( Endocytosis ) มี 2 วิธี คือ 1.Pinocytosis 2.Phagocytosis
3. การนำสารออกนอกเซลล์ ( Exocytosis )
4. การนำสารผ่านเซลล์ ( Cytopempsis )
การสืบพันธ์และการเจริญเติบโต
ดอกคืออวัยวะในการสืบพันธ์ของพืช มีสีสวยงามและกลิ่นหอม ช่วยล่อแมลงให้ผสมเกสรส่วนประกอบของดอก
1.ชั้นกลีบเลี้ยง (sepal) อยู่นอกสุด หน้าที่ป้องกันดอกตูม2.ชั้นกลีบดอก(petal) อยู่ถัดจากกลีบเลี้ยง มีสีสวบและกลิ่นหอม
3.ชั้นเกสรตัวผู้(stamen) ทำหน้าที่สร้างละอองเรณูเกสรตัวผู้ประกอบด้วย อับละอองเรณุ อับละอองเรณุอยู่ติดปลายก้านชูอับละอองเรณุ
4.ชั้นเกสรตัวเมีย (pistill) ทำหน้าที่ สร้างไข่
ยอดเกสรตัวเมีย มีน้ำเหนี่ยว ทำหน้าที่ ดักจับละองเรณู
คอเกสรตัวเมีย ทำหน้าที ชูยอดเกสรตัวเมีย เป็นทางผ่านละอองเรณุที่ออกลงไปเพื่อให้เสปริมนิวเคลียสผสมกับไข่
รังไข่ มีออวุลเพื่อแบ่งตัวให้เกิดไข่และโพลาร์นิวเคลียส
ประเภทของดอก
จำแนกตามส่วนประกอบของดอก• ดอกสมบูรณ์ (Complete flower) คือดอกที่มีส่วนประกอบของดอกครบทั้ง 4 ส่วนในดอกเดียวกัน เช่น ชบา พู่ระหง กุหลาบ มะเขือ
• ดอกไม่สมบูรณ์ (Incomplete flower) คือดอกที่มีส่วนประกอบของดอกไม่ครบทั้ง 4 ส่วน เช่น ดอกหน้าวัว (ขาดกลีบเลี้ยงและกลีบดอก) ดอกบานเย็น (ขาดกลีบดอก)
จำแนกตามลักษณะของเพศ
• ดอกสมบูรณ์เพศ คือดอกที่มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียในดอกเดียวกัน เช่น ดอกตำลึง พู่ระหง และกุหลาบ
• ดอกไม่สมบูรณ์เพศ คือในดอกจะมีเพียงเกสรตัวผู้หรือเกสรตัวเมียเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดอกที่
o ดอกตัวผู้ มีแต่เกสรตัวผู้
o ดอกตัวเมีย ดอกที่มีแต่เกสรตัวเมีย
o ดอกหมัน ดอกที่ไม่มีทั้งเกสรตัวผู้และตัวเมีย
o ดอกระเทย มีดอกสมบูรณ์เพศหรือมีทั้งดอกตัวผู้และดอกตัวเมียในต้นเดียวกัน แม้จะคนละดอกหรือต่างช่อดอก เช่น ข้าวโพด ตำลึง ฟักทอง ดอก
สรุปประเภทดอก
• ดอกครบส่วนเป็นดอกสมบูรณ์เพศเสมอ• ดอกไม่ครบส่วนอาจเป็นดอกสมบูรณ์เพศหรือไม่สมบูรณ์เพศก็ได้
• ดอกสมบูรณ์เพศอาจจะเป็นดอกครบส่วนหรือไม่ครบส่วนก็ได้
• ดอกไม่สมบูรณ์เพศเป็นดอกไม่ครบส่วนเสมอ
ประเภทการสืบพันธุ์
1.สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ คือ การผสมระหว่างละอองเกสรตัวผู้กับไข่ในรังไข่ของเกสรตัวเมีย เมื่อผสมกัน แล้วก็เจริญเติบโตเป็นเมล็ด กระบวนการในการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอก คือ การถ่ายละอองเกสร การงอกของละอองเกสร การปฏิสนธิ- การถ่ายละอองเกสร ( pollination ) คือ การที่ละอองเรณูจากอับละอองเรณูมาตกที่ยอดเกสรตัวเมีย ( stigma ) ของเกสรตัวเมีย เกิดจากการผสมกันเอง หรือมาพาหะ ตัวช่วยเช่นแมลง คน ลม การถ่ายละอองอาจจะเกิดระหว่างดอกเดียวกัน ต่างดอก หรือต่างต้น
- การงอกของละอองเกสร
- การปฏิสนธิ คือกระบวนการที่เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ผสมกับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย และโพลาร์นิวคลีโอในออวุล
ภายในออวุลประกอบด้วย –แอนติโพแดลเวลล์ (antipodal) 3 เซลล์ - ซินเนอร์จิด(synergid) 2 เซลล์
- เซลล์ไข่(eeg cell ) 1 เซลล์
- โพลาร์นิวคลีโอ(polar nuclei) 2 นิวเคลียส รวมเป็นเอนเสปิร์มมาเทอร์ เซลล์(endrosperm mother cell ) 1 เซลล์
- การปฏิสนธิซ้อน (double fertilization ) เกิดจาการปฏิสนธิ 2 ครั้ง คือ 1 .กระบวนการที่ sperm ผสมกับ nuclease ได้embryo 2. กระบวนการที่ sperm ผสมกับ(polar nuclei)ได้ endrosperm
ข้อดีสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
- ต้นที่ได้จากเมล็ดมีอายุยืน
- มีรากแก้ว ทำให้ลำต้นแข็งแรง
ข้อเสียสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
- ใช้เวลานานในการให้ผลผลิต
- ผลผลิตที่ได้ไม่ค่อยตรงกับพันธุ์เดิม
2. สืบพันธุ์เเบบไม่อาศัยเพศ เป็นการขยายพันธุ์ของพืชให้มีจำนวนมากโดยอาศัยส่วนต่าง ๆของพืช เช่น รากและลำต้น เช่น ขิง ข่า กล้วย ตะไคร้ อ้อย
ใบ เช่น ใบคว่ำตายหงายเป็น ต้นเศรษฐีพันล้าน โคมญี่ปุ่น
วิธีสืบพันธุ์ของพืชเเบบไม่อาศัยเพศ เช่น การปักชำ การทาบกิ่ง การตอน การโน้มกิ่ง การต่อกิ่ง การติดตา
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ คือ การกระตุ้นเซลล์หรือชิ้นส่วนพืชให้เกิดการเจริญเติบโต หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงตามความต้องการบนอาหารสังเคราะห์ ภายใต้สภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น แสงสว่าง ที่สามารถควบคุมได้ในสภาพที่ปลอดเชื้อ โดยใช้สมดุลของสารควบคุมการเจริญเติบโต พืช เป็นตัวกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาของเนื้อเยื่อที่นำมาทำการเพาะเลี้ยง
ข้อดีของการขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ
1. ให้ผลตรงตามพันธุ์ที่ต้องการ
2. ให้ผลเร็วกว่าการปลูกด้วยเมล็ด
3. ใช้ขยายพันธุ์ที่ปลูกด้วยเมล็ดแล้วไม่ขึ้น
ข้อเสียของการขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ
1. ต้นไม่แข็งแรงเพราะไม่มีรากแก้ว (ยกเว้นการต่อกิ่ง ติดตา และทาบกิ่ง)
2. วิธีการเก็บรักษาและย้ายพันธุ์ทำยากกว่า
3.สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการปลูกมากกว่า
การสังเคราะห์แสงคือ กระบวนการสร้างอาหารของพืชโดยใช้น้ำและแก๊สคาร์บอนไดออกไซค์เป็นวัตถุดิบ ใช้คลอโรฟิลล์ดูดพลังงานแสงอาทิตย์ อาหารที่ได้ คื่อน้ำตาล แป้ง และแก๊สออกซิเจน
H2O + CO2 กลูโคลส + O2 +H2O
ปัจจัยการสังเคราะห์แสง
- คลอโรฟิลล์- แก๊สคาร์บอนไดออกไซค์
- แสงสว่าง
- เซลล์ที่มีชีวิต
- น้ำ
- อุณหภูมิที่เหมาะสม
การตอบสนองของพืชคือการที่พืชตอบนสองต่อสิ่งเร้า เช่น การหันของดอกทานตะวันไปตามลำแสงดวงอาทิตย์ การหุบของไมยราบเมื่อโดนสัมผัส การหุบการบานของดอกคุณนายตื่นสาย ตามความเข้มของแสงอาทิย์
ปัจจัยที่พืชตอบสนอง
-แสง-อุณหภูมิ
-ความชื้น
-การสัมผัส
-แรงโน้มถ่วง
Total Rating ✔
9.2 stars – 2,789 reviews
More Reviews
อ่านรีวิว ทั้งหมดคลิก
แสดงความคิดเห็น
ก่อนเปิดเทอม มาดูสรุปวิทย์ ม.1 เรื่องหน่วยของสิ่งมีชีวิตและพืช
สรุปวิทยาศาสตร์มัธยมต้น, หน่วยของสิ่งมีชีวิตและพืช, doc