สำรวจ
แนะนำ
สอบเข้า
ออนไลน์

ครูสอนพิเศษ คุณภาพอันดับ1

หาครูสอนพิเศษตัวต่อตัว คลิกเลย

ค้นหาด้วยเสียง
ค้นหาด้วยเสียงคลิกที่นี่

» » เรียนตัวต่อตัว แบบปรับพื้นฐาน เพิ่มเกรด หรือติวสอบ แตกต่างกันอย่างไร ?

19 พฤศจิกายน 2560

เรียนตัวต่อตัว แบบปรับพื้นฐาน เพิ่มเกรด หรือติวสอบ แตกต่างกันอย่างไร ?

การเรียนที่ได้ผล และเห็นผลชัดเจนที่สุดไม่ว่านักเรียนจะเรียนเก่งอยู่แล้วหรือเรียนปานกลาง หรือเรียนอ่อนในแต่ละวิชา คือการเรียนแบบตัวต่อตัวนั่นเอง เพราะว่าการที่นักเรียนเรียนกับคุณครูหรือติวเตอร์แบบตัวต่อตัวนั้น



รูปแบบการเรียนการสอนแบบตัวต่อตัว

การเรียนการสอนพิเศษที่นักเรียน เรียนกันอยู่ในทุกวันนี้ มีหลากหลายรูปแบบทั้งการเรียนแบบตัวต่อตัว การเรียนแบบกลุ่ม (กลุ่มใหญ่ หรือกลุ่มเล็ก ) การเรียนด้วยตัวเองกับคอมพิวเตอร์หรือ VDO และการเรียนด้วยการฝึกกับแบบฝึกหัดตามระดับความรู้ 

การเรียนที่ได้ผล และเห็นผลชัดเจนที่สุดไม่ว่านักเรียนจะเรียนเก่งอยู่แล้วหรือเรียนปานกลาง หรือเรียนอ่อนในแต่ละวิชา คือการเรียนแบบตัวต่อตัวนั่นเอง เพราะว่าการที่นักเรียนเรียนกับคุณครูหรือติวเตอร์แบบตัวต่อตัวนั้น

  • นอกจากคุณครูจะสอนโดยมีนักเรียนเป็นศูนย์กลางแล้ว 
  • ยังสอนตามจุดประสงค์การเรียนของนักเรียนคนนั้นๆได้เลย 
  • และที่สำคัญมากๆอีกประการหนึ่งคือ นักเรียนจะกล้าถาม และกล้าแสดงความไม่รู้ออกมา 
  • ซึ่งการเรียนแบบกลุ่มนักเรียนจะไม่กล้าถามเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งการเรียนกับคอมพิวเตอร์ หรือ VDO นักเรียนยิ่งไม่มีโอกาสได้ถามในสิ่งที่ไม่เข้าใจได้เลย



การเรียนแบบตัวต่อตัวให้ได้ผล

แม้ว่าการเรียนแบบตัวต่อตัวระหว่างนักเรียนกับติวเตอร์จะเป็นการเรียนที่ได้ผลดีที่สุด แต่ก็ยังจำเป็นต้องเลือกรูปแบบการเรียนให้เหมาะสมตามความรู้ ตามทักษะที่มีของนักเรียนด้วย เช่น นักเรียนที่มีพื้นฐานความรู้ยังไม่แน่น มาเรียนตัวต่อตัวแบบติวสอบ โดยใช้แนวข้อสอบในการเรียนการสอน นักเรียนอาจจะไม่สามารถทำข้อสอบได้ เพราะพื้นฐานความรู้ของนักเรียนยังไม่แน่นพอที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการทำข้อสอบ นักเรียนจำเป็นต้องเรียนแบบปรับพื้นฐานก่อน ทีนี้เรามาดูกันว่า รูปแบบการเรียนแบบตัวต่อตัวนั้นมีอะไรบ้าง


1. การเรียนแบบปรับพื้นฐาน

เป็นการเรียนเพื่อปรับพื้นฐานที่นักเรียนยังไม่รู้หรือยังไม่เข้าใจตามระดับชั้นของนักเรียน โดยเฉพาะวิชาที่เกี่ยวกับการคำณวน เช่นคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี และวิชาด้านภาษาต่างๆ ที่นักเรียนจำเป็นต้องมีความรู้ไล่ตามระดับมาเรื่อยๆ ถ้านักเรียนไม่เข้าใจในเรื่องหนึ่งก็จะไม่สารถเรียนเรื่องต่อไปที่ต้องนำความรู้เรื่องนั้นไปใช้เป็นพื้นฐานด้วยได้เลย

การเรียนแบบปรับพื้นฐานเหมาะกับวิชาใดบ้าง
  • คณิตศาสตร์
  • วิทยาศาสตร์ (คำนวณ)
  • ฟิสิกส์
  • เคมี
  • ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ
  • คอมพิวเตอร์ (ทุกเรื่อง)
  • บัญชี


ช่วงเวลาเรียนแบบปรับพื้นฐาน
ถ้าเป็นไปได้ควรเริ่มเรียนโดยเร็วที่สุดเมื่อรู้ว่าเรียนวิชาใดแล้วไม่เข้าใจเลย หรือไม่สามารถทำโจทย์แบบฝึกหัดได้เลย เพราะยิ่งปรับได้เร็ว นักเรียนก็จะสามารถมาเรียนเนื้อหาที่กำลังเรียนอยู่ได้อย่างเข้าใจได้ง่ายขึ้น ส่วนระยะเวลาการเรียนขึ้นอยู่กับพื้นฐานที่จำเป็นต้องปรับและทักษะในการเรียนรู้ของนักเรียนด้วย


2. การเรียนแบบเสริมความรู้ (หรือการเรียนเพื่อเพิ่มเกรด)

เป็นการเรียนเพื่อเสริมความรู้เนื้อหาที่นักเรียนกำลังเรียนอยู่ให้เข้าใจมากขึ้นและเร็วขึ้น การเรียนแบบนี้ใช้ได้กับทุกวิชาที่เนื้อหาทำความเข้าใจได้ยาก โดยที่นักเรียนไม่ได้ตกหล่นพื้นฐานก่อนหน้านั้น และสามารถเรียนเรื่องนั้นๆได้เลย คุณครูหริอติวเตอร์ทำหน้าที่สอนและอธิบายจุดที่นัก้เรียนไม่เข้าใจจากการเรียนในชั้นเรียนที่โรงเรียน ทำให้นักเรียนเข้าใจมากขึ้นและสามารถกลับไปเรียนเนื้อหาในชั้นเรียนต่อไปไดง่ายขึ้นนั้่นเอง

การเรียนแบบเสริมความรู้เหมาะกับวิชาใดบ้าง
การเรียนแบบนี้เป็นการเรียนเพื่อเพิ่มเกรดด้วยดังนั้นจึงเหมาะกับวิชาหลักๆที่นักเรียนเรียนในโรงเรียนอยู่แล้ว เช่น

  • คณิตศาสตร์
  • วิทยาศาสตร์ (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ)
  • ภาษาอังกฤษ
  • ภาษาไทย
  • สังคมศึกษา (ประวัติศาสตร์)
  • ภาษาจีนและภาษาอื่นๆที่เรียนเป็นภาษาที่ 3 ในโรงเรียน


ช่วงเวลาเรียนแบบเสรมความรู้
การเรียนเพื่อเสริมความรู้จำเป็นต้องเรียนควบคู่ไปกับการเรียนในชั้นเรียนที่โรงเรียน อาจจะดูเนื้อหาการเรียนที่โรงเรียนก่อนแล้วค่อยมาดูว่าวิชาไหนที่จำเป็นต้องเรียนเพิ่มเพื่อให้ทันกับการเรียนในชั้นเรียน


3. การเรียนแบบติวสอบ

เป็นการเรียนเพื่อติวสอบกลางภาค ปลายภาค หรือการสอบเข้า สอบแข่งขันรายการต่างๆ การเรียนแบบนี้นักเรียนจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานดีอยู่แล้ว เนื้อหาที่เรียนมานักเรียนต้องเข้าใจอาจจะเข้าใจได้ดี หรือเข้าใจพอสมควรแล้ว การเรียนแบบติวสอบจึงจะได้ผลดี เพราะถ้านักเรียนพื้นฐานหลายเรื่องยังไม่เข้าใจ การติวสอบก็จะไม่ได้ผล เพราะน้องๆจะยังไม่สามารถทำโจทย์ข้อสอบได้ การเรียนแบบติวสอบคุณครูหรือติวเตอร์จะเน้นแนวข้อสอบที่ออกบ่อยๆและยาก ให้เทคนิคเพิ่มเติมในการทำเพื่อให้ทำได้อย่างแม่นยำและทันเวลาด้วย

การเรียนแบบติวสอบเหมาะกับวิชาใด
การเรียนแบบนี้ เหมาะกับทุกวิชาที่มีการสอบ เพราะแนวข้อสอบแต่ละวิชา แต่ละรายการ จะมีลักษณะการออกข้อสอบที่คุณครูหรือติวเตอร์ที่มีประสบการณ์จะทราบแนวทางของข้อสอบและสามารถติวแนวข้อสอบได้แม่นยำ ดีกว่านักเรียนไปคาดเดาเอาเอง

ช่วงเวลาการเรียนแบบติวสอบ
การติวสอบนั้นถ้าจะให้ดีก็ควรเรียนก่อนเป็นระยะเวลาพอสมควร อาจจะก่อนการสอบ 2-4 เดือนหรือมากกว่านั้นถ้าเป็นรายการสอบที่สำคัญและการแข่งขันสูง หรือเป็นรายการสอบที่ค่อนข้างยาก เช่นการสอบเข้า ม.1 สอบเข่า ม.4 ห้องเรียนวิทย์คณิต หรือห้องเรียน Gifted หรือการสอบแข่งขันรายการต่างๆ เช่น สสวท. TEDET ASMO ฯลฯ เพราะการติวสอบไม่ใช่แค่การติวให้ได้ความรู้และทักษะการทำโจทย์เพียงอย่างเดียวแต่รวมถึงการสอนเทคนิคต่างๆให้นักเรียนทำได้ในเวลาที่กำหนดอีกด้วย ดังนั้นระยะเวลาในการติวจึงอาจใช้พอสมควร


4. การเรียนแบบสอนทำการบ้าน

การเรียนแบบทำการบ้าน เป็นการเรียนแบบไม่ได้เคร่งเครียด หรืออาจจะเรียกว่าเป็นการเรียนแบบให้นักเรียนไม่เครียดในการเรียนที่โรงเรียน เพราะปัจจุบันการบ้านที่นักเรียนได้รับจากการเรียนในโรงเรียนมีทุกวัน บางโรงเรียนครูแต่ละวิชาต่างคนต่างให้ นักเรียนอาจมีการบ้านมาทำเต็มไปหมด บางโรงเรียนก็มีเวรการให้การบ้านในแต่ละวัน บางโรงเรียนมีเรียนพิเศษตอนเย็นที่โรงเรียนก็คือครูจะสอนการบ้านนี่แหละ แต่คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะไม่เห็นประโยชน์ จึงต้องการคุณครูมาสอนพิเศษเพื่อทำการบ้านและอธิบายวิธีทำให้น้องๆเข้าใจมากขึ้น ที่สำคัญนักเรียนมีการบ้านไปส่งด้วยความเข้าใจวิธีการทำได้ดี

การเรียนแบบสอนการบ้านเหมาะกับวิชาใด
จริงๆก็เหมาะกับทุกวิชาที่มีการบ้านมา แต่จะให้ดี วิชาไหนที่คุณพ่อคุณแม่ หรือพี่สามารถสอนน้องได้ก็สอนกันเองจะดีกว่า (สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวด้วย) แต่บางวิชา ในบางระดับชั้น อาจจำเป็นต้องพึ่งคุณครูสอนพิเศษก็ได้

ช่วงเวลาการเรียนแบบสอนการบ้าน
จุดประสงค์คือการสอนการบ้าน ช่วงเวลาเรียนก็ควรจะเป็นหลังเลิกเรียน วันธรรมดา


5. การเรียนแบบสอนเนื้อหาล่วงหน้า

การเรียนแบบสอนเนื้อหาล่วงหน้า เป็นการเรียนที่ต้องการให้นักเรียนรู้เนื้อหาล่วงหน้าก่อนที่จะเรียนในโรงเรียนซึ่งจะทำให้นักเรียนรู้และทำความเข้าใจเนื้อหาเหล่านั้นเอาไว้ก่อน และทำให้ในชั้นเรียนของนักเรียนจะทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น การเรียนแบบนี้นักเรียนก็ต้องมีพื้นฐานความเข้าใจในเนื้อหาก่อนหน้าได้ดีอยู่แล้ว และการเรียนแบบนี้ก็เหมือนกับการป้องกันไม่ให้นักเรียนเรียนในชั้นเรียนไม่เข้าใจ แล้วต้องมาคอยไล่ปรับพื้นฐานกันไปเรื่อยๆ

การเรียนแบบเนื้อหาล่วงหน้าเหมาะกับวิชาใด
การเรียนแบบนี้เป็นการป้องกันเพื่อจะได้ไม่ต้องมาคอยเรียนแบบปรับพื้นฐาน ดังนั้นวิชาที่เหมาะคือวิชาแบบเดียวกับการเรียนปรับพื้นฐาน แต่จะเจาะจงเฉพาะวิชาในระดับประถมและมัธยมเท่านั้น

ช่วงเวลาของการเรียนแบบเนื้อหาล่วงหน้า
ส่วนใหญ่จะเรียนกันตอนช่วงปิดเทอม ทั้งปิดเทอมกลางและปิดเทอมใหญ่ โดยการสอนเนื้อหาของวิชาต่างๆในภาคเรียนต่อไปหรือในระดับชั้นต่อไปเลย


รูปแบบการเรียนการสอนแบบตัวต่อตัวที่กล่าวมานั้น อย่างที่บอกว่าจะเหมาะกับน้องๆแต่ละคน ในแต่ละวิชา ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ และตัวนักเรียนเองควรรู้ด้วยว่าวิชาอะไรที่เราเรียนแล้วเข้าใจดี หรือไม่ค่อยเข้าใจ หรือไม่รู้เรื่องเลย จะได้บอกกับติวเตอร์หรือคุณครูถูก เพื่อการเตรียมการสอนจะได้เหมาะสมกับนักเรียนและจุดประสงค์การเรียนของแต่ละคน 
อย่างไรก็ตามติวเตอร์หรือคุณครูที่มีประสบการณ์ จะใช้เวลาไม่มากในการดูว่านักเรียนแต่ละคนเหมาะสมกับการเรียนแบบใด เพราะเป็นการเรียนแบบตัวต่อตัวอยู่แล้วคุณครู หรือติวเตอร์จะโฟกัสที่นักเรียนคนเดียวและใช้พื้นฐานความรู้ ทักษะของนักเรียนในการนำมาประยุกต์ในการสอนเพื่อให้การเรียนการสอนนั้นได้ผลตามจุดประสงค์ของการเรียนตามต้องการ






Total Rating ✔

9.2 stars – 2,789 reviews

More Reviews

แสดงความคิดเห็น

เรียนตัวต่อตัว แบบปรับพื้นฐาน เพิ่มเกรด หรือติวสอบ แตกต่างกันอย่างไร ?

บทความจาก TutorFerry, News